เขียนฏีกาคดีแพ่งอย่างไรให้ชนะคดี

                การยื่นฏีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ยื่นต่อศาลภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี และต้องมีทุนทรัพย์ในชั้นฏีกาเกินกว่าสองแสนบาทขึ้นไป เว้นแต่ เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดีฟ้องให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท (ป.วิ.พ.มาตรา 248)   อีกทั้งยังจะต้องเป็นเรื่องที่ได้เคยยกขึ้นว่ากล่าวกันมาชอบโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วย (ป.วิ.พ.มาตรา 249)

               การเขียนและเรียงคำฟ้องฏีกานั้นนับว่าเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งและใช้ฝีมือมาก  โดยทนายที่มีประสบการณ์มากๆ มักจะใช้ถ้อยคำ วลี สำนวนที่เป็นภาษาด้านกฎหมายในการเรียงฟ้องฏีกา  หรือมีการเน้นคำหรือโน้มน้าวให้เห็นข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี  และในขณะเดียวกันก็จะเป็นการทำลายน้ำหนักหรือข้ออ้างอิงของคู่ความฝ่ายตรงข้ามไปด้วยในตัว  โดยจะอธิบายให้เห็นหลักกฎหมายและปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายดังกล่าวให้กระจ่างและเห็นแนวทางว่าคำตัดสินนั้นไม่ชอบด้วยความเห็นพ้องอย่างไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไรด้วยหลักเกณฑ์และเหตุผลอย่างไรทั้งสิ้นทั้งปวง  อีกทั้งยังเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฏีกาที่เคยตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐานประกอบหรืออ้างอิงไว้ด้วย เพื่อประโยชน์แก่ศาลฏีกาจะได้นำไปค้นคว้าและหยิบยกนำมาประกอบการเขียนคำพิพากษาต่อไป  ซึ่งต้องยอมรับว่าในประเทศไทยหากมีคำพิพากษาศาลฏีกาเคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วคดีต่อๆ มาก็ล้วนจะตัดสินไปในแนวทางด้วยกันทั้งหมด                                                                                                                    

               ดังนั้น หลักการเขียนฏีกาล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องใช้ความรู้ด้านกฎหมายและประสบการณ์เฉพาะตัวของทนายความอย่างมาก  รวมทั้งศิลปะในการใช้ถ้อยคำ วลี สำนวนให้สละสลวยอันมีผลโดยตรงต่อน้ำหนักการรับฟังของศาลหรือผู้อ่านด้วย  ซึ่งผู้ฏีกาจะใช้ทนายความคนเดิมหรือแต่งตั้งทนายความคนใหม่ในการฏีกาก็ได้ทั้งสิ้น By www.siaminterlegal.com